วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2557

คนเกาหลี/เวียตนาม/พม่า/กัมพูชา/เยอรมัน/เกาหลี/คนลาว



(คนเกาหลีไว้ท้ายบทความ)







คนเวียดนาม


วันที่ 29 กันยายน 2557 01:00 กรุงเทพธุรกิจออนไลน์



คนเวียดนามที่อายุ 35-40 ปีขึ้นไปนั้น จะต้องเผชิญกับความยากลำบากของสงครามเวียดนามมาก่อน ทั้งๆ ที่สงครามเวียดนามจบไปตั้งแต่ 30 กว่าปีที่แล้ว แต่ชีวิตหลังสงครามก็ยังคงยากลำบากอยู่ ความเสียหายของบ้านเมือง การเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยเฉพาะเวียดนามใต้เดิม ก่อนที่จะถูกเวียดนามเหนือเข้ามาปกครองแทน คนกลุ่มนี้จึงจะต้องดิ้นรนอย่างมาก ความคิดของคนกลุ่มนี้จึงแตกต่างกับกลุ่มคนรุ่นหลังสงครามเป็นอย่างมาก


พวกคนอายุต่ำกว่า 30 ปี พวกนี้จะเป็นกลุ่มคนสำคัญที่เราจะพูดถึงกัน คนเวียดนามเหล่านี้เป็นกลุ่มคนทำงาน จริงๆคนเหล่านี้จะขยันทำงานมาก ทำงานได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว แต่ขาดความละเอียดประณีต เรื่องศิลปะ (Artistic) ยังเก่งสู้คนไทยไม่ได้ งานจะออกมาค่อนข้างหยาบหน่อย ไม่ค่อยประณีต


คนเวียดนามจะชอบอะไรใหม่ๆ เสมอๆ อุปกรณ์ไอทีสมัยใหม่ (Gadget) ทั้งหลายถูกใจคนเวียดนามเป็นอย่างมาก แต่ด้วยปัญหาจากรายได้ของคนเวียดนาม ต่ำกว่าคนไทย แต่ค่าครองชีพในเมืองกลับสูงกว่ากรุงเทพ ดูได้จากค่าอาหารตามศูนย์การค้า (Shopping Plaza) หรือ อาหารจานด่วน (Fast Food) ต่างๆ


เอาง่ายๆ ร้านเฝอที่เมืองไทยเป็นร้านติดแอร์ราคาประมาณ 45-60 บาท ที่เวียดนามขายอยู่ที่ราคา 65-100 บาท ทำให้เงินไม่ค่อยพอใช้ จึงมีปัญหาเรื่องการคดโกงคอร์รัปชันในทุกระดับ ทั้งภาคราชการ และเอกชน ราชการ ปาเข้าไป 50% เอกชน 5-10% ดังนั้นถ้าคุณเข้าไปลงทุนในเวียดนาม คุณต้องระวังต้นทุนในส่วนนี้ด้วย


คนเวียดนามจะแต่งงานเร็วกว่าคนไทย จบมาได้ไม่นานเท่าไหร่ก็แต่งงานกันแล้ว และจะเน้นมีลูก 2-3 คน เพราะรัฐบาลเวียดนามให้สวัสดิการ ส่งเสียเลี้ยงดูบุตร ได้เรียนฟรีได้ถึง 3 คน ที่สำคัญมารดาสามารถลาคลอดได้ถึง 6 เดือน นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างจำนวนเต็ม เรียกว่ากลับมาทำงานกันไม่เป็นเลยทีเดียว ดีไม่ดีเกิดท้องติดๆ กันอีก บริษัทต้องรับภาระเพิ่มขึ้นอย่างหนักเลยครับ


คนเวียดนามจะใช้มอเตอร์ไซค์เป็นพาหนะหลัก รถยนต์นั้นต้องสำหรับคนที่รวยจริงๆ ไปไหนมาไหนจะเห็นมอเตอร์ไซค์เต็มไปหมดเลย ยิ่งช่วงเทศกาลสำคัญต่างๆ (Peak Hours) เช่น เทศกาลปีใหม่ วาเลนไทน์ เขาจะขี่รถออกมาชมเมืองกัน ชนิดที่เกิดมาผมก็ไม่เคยเห็นรถมอเตอร์ไซค์เยอะขนาดนี้มาก่อน ทั้งถนนมีแต่รถมอเตอร์ไซค์เป็นหมื่นๆ คัน แต่ข้อดีคือ ทุกคนใส่หมวกกันน็อก เพราะตำรวจเอาจริงมาก ถ้าไม่ใส่หมวกกันน็อก ตำรวจเจอ รถก็จะถูกยึดเลย แต่หมวกกันน็อกที่เวียดนามจะบางมาก มีความหนาเพียงแค่หนึ่งนิ้วเท่านั้น ป้องกันอะไรไม่ได้จริงๆเลยครับ


สิ่งหนึ่งที่สาวเวียดนามเหมือนกับสาวไทยคือ กลัวแดดมากๆ ครับ กลางวันไปไหนมาไหน จะแต่งตัวมิดชิดให้มากที่สุด ยิ่งถ้าจะต้องไปเจอแดดนี่ ใส่ทั้งหมวก ปลอกแขน ป้องกันแดดเต็มที่เหมือนกับสาวไทย แต่พอตกเย็นๆ ค่ำๆ ก็เริ่มจะโชว์กันเต็มที่ครับ


สาวเวียดนามแต่งตัวเปิดเผยกว่าสาวไทยเยอะมาก โดยเฉพาะช่วงบน เปิดเผยกันชนิดที่เวลานั่งประชุมด้วย ต้องใช้สมาธิอย่างสูง เพื่อไม่ให้สายตาเราซุกซน


บทสรุปของคนเวียดนามคือ เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ค่อนข้างเร็ว มีกลุ่มเวียดเกียว คือคนเวียดนามที่ไปเติบโตเมืองนอก แล้วกลับมาทำงานที่เวียดนาม คนกลุ่มนี้จะมีความคิดแบบคนตะวันตก พยายามนำสิ่งใหม่ๆ เข้าไปในเวียดนาม กลุ่มคนเหล่านี้จะมีบทบาทสำคัญทำให้เวียดนามเจริญต่อไปได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็จะต้องผ่านอุปสรรคของคนรุ่นเก่าที่ปกครองประเทศ ที่มีปัญหาการคอร์รัปชันซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ระดับประเทศของเวียดนามเลยทีเดียว







คนพม่า
วันที่ 30 กันยายน 2557 01:00กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


เรื่องราวที่น่าสนใจในมุมมองของคนที่ได้สัมผัสกับคนพม่าในฐานะคนที่ไปทำงานจริงๆ อยู่ที่ย่างกุ้งเกือบสองปี


คนต่างชาติส่วนใหญ่ที่ได้เข้าไปทำงานที่พม่าในระยะแรกๆ นั้น อาจจะมีความรู้สึกต่อคนพม่าไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือ ประทับใจ และรู้สึกชื่นชอบในน้ำใจใสซื่อของคนพม่า ที่คิดอะไรตรงไปตรงมา และดูเป็นตัวของตัวเองแบบซื่อๆ จนกลายเป็นความน่ารักไปเสียอย่างนั้น หรือบางคนคิดไปเสียด้วยซ้ำว่าคำว่า "สยามเมืองยิ้ม" ของไทยเรานั้นเทียบไม่ได้เลยกับรอยยิ้มพิมพ์หมากของพี่หม่อง


แต่พอได้ไปลองใช้ชีวิตในพม่าสักพักหนึ่ง ไม่ใช่ในฐานะนักท่องเที่ยว แต่ในฐานะผู้ร่วมงานกับชาวพม่าจริงๆ เราจึงได้เรียนรู้เรื่องราว และวิธีคิดแบบพม่ารามัญมากขึ้น ดังนี้


คนพม่าพื้นฐานโดยรวมเป็นคนจิตใจดี ใสซื่อ ไม่คดโกง และมีน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน ยกตัวอย่างเช่น ในร้านอาหาร หรือโรงแรม เราไม่จำเป็นต้องให้เงินทิปแก่บริกร และบริกรก็ไม่แม้แต่จะยืนรอด้วยซ้ำ ถึงแม้ว่ารายได้คนพม่าจะไม่มากก็ตามที


ของที่เราวางลืมไว้ หรือของหายแทบจะไม่เกิดขึ้นเลยในเมืองพม่า ยกตัวอย่าง เช่น ผมลืมร่มไว้ในร้านกาแฟ หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ผมกลับไปที่ร้านกาแฟร้านนั้น ร่มก็ยังคงอยู่ที่เดิม


“จ่ายสด งดเชื่อ เบื่อทวง” คนพม่านิยมทำธุรกิจกันด้วยเงินสด เป็นเรื่องลำบากของสังคมพม่าในเรื่องการซื้อของ เพราะในสังคมพม่าแต่ก่อนไม่มีบัตรเครดิต ไม่เชื่อถือในระบบธนาคารของรัฐ และเอกชน ฉะนั้นคนพม่าจึงเก็บเงินสดไว้ที่บ้าน และหอบไปซื้อของกันเป็นกองๆ นับและจ่ายเงินกันจนมือหงิกกันไปข้างหนึ่ง


"คนพม่านี้รักสงบ" จริงๆ ความคิดนี้ไม่ค่อยถูกต้องนัก เพราะหากมองผิวเผิน คนพม่าเหมือนจะเป็นคนง่ายๆ ชิลๆ ตามใจทุกคน ไม่เคยทะเลาะกับใครแรงๆ แต่ในการทำงานจริงๆ กับคนพม่านั้น เขามีความคิดเป็นของตนเอง และค่อนข้างดื้อเงียบ เพียงแต่คนพม่าเป็นคนที่ไม่ค่อยแสดงออกถึงความรู้สึกที่แท้จริงของตน และมักจะมีนิสัยหนึ่งที่พบเห็นบ่อยๆ คือ พยักหน้ารับฟังเรา และพูดว่า โอเค โอเค ไอ โนว์ แต่เวลาปฏิบัติงานจริงกลับทำอีกอย่างหนึ่งอันดับที่ อย่างไรก็ตามคนเมียนม่าในภาพรวมเป็นชนชาติเอื้อเฟื้อมีน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่นมากเป็นอันดับ 1 ของโลกในปี 2557-2558 ติดต่อกัน ในขณะที่คนไทยอยู่ในอันดับที่ 34


"รู้ทุกเรื่อง" คนพม่าเป็นชนชาติที่มีฟอร์ม ไม่ยอมขายหน้า และเสียฟอร์มเลย ฉะนั้นคนพม่าจะไม่แสดงออกว่าตนไม่รู้ แม้ว่าที่จริงแล้วจะไม่เข้าใจในสิ่งที่คุยกันเลย ก็ตาม


"ไม่ยอมตกเทรนด์" ของใหม่มีที่ไหนขอให้บอก ในสังคมพม่าเมื่อมีสิ่งใหม่ๆ มา คนพม่าจะแห่แหนกันไปเสพตามกระแส Social Media หรือ Viral Marketing จึงใช้ได้ผลดีในพม่า โฆษณาชวนเชื่อและการบอกต่อจึงเป็นวิธีที่ได้ผลดีมาก


"นินทากาเลเหมือนเทน้ำ" อาจเพราะสังคมพม่าไม่เร่งรีบ เรื่องหนึ่งที่เป็นผลมาจากความว่างของชาวพม่าคือ เม้าท์มอยกันจนสนุกปาก เรียกได้ว่า เห็นใครดีกว่าเป็นไม่ได้ เห็นมดพูดเท่าช้าง ฉะนั้นจึงไม่แปลกใจเลยสื่อหนังสือพิมพ์มักมีผลต่อสังคมในเรื่องคำวิจารณ์


"น้อยใจไปเสียทุกเรื่อง" คนพม่าเหมือนเด็กน้อย เวลาทำงานชอบให้ชมมากกว่าให้ติ ถึงแม้จะทำผิดก็ไม่ชอบฟังคำวิจารณ์ ชอบให้ชม และเยินยอเสมอ


"เหนื่อยนักพักซะเลย" ลองหลับตานึกภาพดูนะครับว่า พม่าวันนี้เหมือนเชียงใหม่ของเราเมื่อสามสิบปีก่อน ที่สังคมยังต๊ะยอนยอนกันอยู่เลย ไม่ชอบทำงานหนัก ไม่ดิ้นรน และไม่ขวนขวาย ถ้าเหนื่อย หรือถูกกดดันมากๆ จากการทำงาน ก็จะลาออกไปเลยซะดื้อๆ โดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น และนี่เป็นปัญหาหลัก หลังจากพม่าเปิดประเทศ และมีบริษัทข้ามชาติเข้ามาลงทุน คนพม่าจึงไม่อยากทำงานด้วย เพราะทนแรงกดดันไม่ไหว


"ทะเยอทะยานแต่ไม่ขวนขวาย" คนพม่าอยากได้ดี และอยากประสบความสำเร็จ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ค่อยขวนขวาย ส่วนมากมักจมปลักอยู่กับสิ่งเดิมๆ


ทั้งหมดนี้ คือเรื่องราว และมุมมองจากคนได้ไปทำงานจริง และคลุกคลีกับคนพม่า อย่างน้อยก็เป็นข้อมูลเบื้องต้น สำหรับคนที่จะต้องไปร่วมงานกับคนพม่าในอนาคตได้นะครับ


คนกัมพูชา
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันที่ 21 ตุลาคม 2557 01:00ในฐานะที่เป็นเพื่อนบ้านทางตะวันออกของเรา มีประวัติศาสตร์ร่วมกันมาเป็นระยะเวลายาวนาน ทั้งยังเป็นประเทศที่มีปัญหาขัดแย้งกับประเทศเราบ่อยครั้งที่สุดประเทศหนึ่ง

ลักษณะพฤติกรรมนิสัยคนเขมรกับคนเวียดนามจะมีความใกล้เคียงกันอยู่อย่างหนึ่งคือ ผ่านสงครามมามากมายด้วยกันทั้งคู่ ได้แก่ สงครามกลางเมืองเพื่อแย่งชิงอำนาจในเขมร ทำให้มีประชาชน ต้องเสียชีวิตถึง 3 ล้านคน จากจำนวนประชากรทั้งหมด 7.5 ล้านคน ทำให้สูญเสียคนที่มีความรู้ไปเป็นจำนวนมาก นิสัยผู้คนจึงสามารถจำแนกเป็นกลุ่มที่เคยผ่านสงครามอายุ 35 ขึ้นไป กับกลุ่มคนที่อายุต่ำกว่า 35 ปี คือพวกที่ไม่ได้ลิ้มรส ความยากไร้ของสงคราม

เรามาพิจารณากลุ่มคนเขมรรุ่นใหม่กันก่อนครับ แน่นอนว่าอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากประเทศไทยจะมีสูงมาก โดยผ่านทางสินค้าไทย ละครไทย ภาพยนตร์ไทย ด้วยวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกัน การเรียนรู้ก็ง่ายขึ้น ใครใช้สินค้าไทยต้องถือว่าไฮโซ

ที่สำคัญคือเชื่อว่าสินค้าไทยเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ ดีกว่าของที่มาจากจีนหรือเวียดนาม ทำให้พบมีการปลอมแปลงสินค้าไทยให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง คนเขมรจะชอบคนไทยมากกว่าคนเวียดนาม เนื่องจากเขมรต้องเสียดินแดนมากมายให้กับเวียดนาม ช่วงสงครามอินโดจีน กองทัพเวียดนามเองก็บุกเข้ามาในเขมร

นอกจากนั้นคนเขมรที่เป็น "ชนชั้นกลาง" ขึ้นไปจะแสดงสถานะโดยการไปเที่ยวเมืองไทย ส่งลูกมาเรียนที่เมืองไทย ซึ่งถือว่าเป็นคนชั้นนำของเขมรทันที สาวๆ เขมรบางส่วนก็อยากแต่งงานกับหนุ่มไทย เพื่อให้ได้มาใช้ชีวิตในประเทศไทย อยากมาอยู่ในกรุงเทพฯ เมืองที่เจริญกว่าประเทศของเขา

เนื่องจากรายได้ของคนเขมรส่วนใหญ่ยังค่อนข้างต่ำ ชนชั้นกลางจะอาศัยอยู่ในเมือง ระบบสาธารณูปโภคก็ยังไม่ดีนัก ถนนหนทางส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร จะไปไหนมาไหน ระยะทางเพียงแค่ 100 กิโลเมตร แต่ต้องใช้เวลาเดินทางถึง 4-5 ชม.

สำหรับการบริโภคสื่อของคนที่นั่น โทรทัศน์เป็นสื่อยอดนิยมอันดับหนึ่ง รองลงมาคือสื่อ พวกบิลบอร์ด พวกสื่อออนไลน์ยังคงต้องพัฒนาอีกมาก

นอกจากนี้ อินเทอร์เน็ตยังมีเฉพาะในเมืองใหญ่ สังคมออนไลน์ โดยเฉพาะ "เฟซบุ๊ค" ถือได้ว่าได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก วัยรุ่นเขมรให้ความสนใจสินค้าที่เกี่ยวกับความสวยงามมาก โดยมีดาราไทยหรือเกาหลีเป็นไอดอล ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ก็เน้นให้ขาวๆ ไว้ก่อน ก็เป็นพวกไวท์เทนนิ่ง กลางวันก็สวมเสื้อผ้ามิดชิดเพราะกลัวแดด ส่วนรูปร่างหน้าตาถ้าเทียบกับคนไทยต้องถือว่าคนไทยยังได้เปรียบอยู่มาก

สำหรับอาหารการกินที่นั่น ยังได้คงมีอิทธิพลและกลิ่นอายของฝรั่งเศสอยู่พอสมควร เช่น ประเพณีนอนกลางวัน ร้านค้าปิดกลางวันยังมีให้เห็นอยู่ ขนมปังฝรั่งเศสแต่มีไส้แบบเขมรก็มีให้เห็นตามท้องถนน ส่วนชอปปิงพลาซ่าอย่าง อิออนก็เพิ่งไปเปิดอย่างใหญ่โต มีโรงภาพยนตร์เมเจอร์ ของคุณ วิชา พูลวรลักษณ์ ซึ่งเป็นที่นิยมของคนเขมรอย่างมาก เพราะมีโรงภาพยนตร์ เช่นเดียวกับแบบมาตรฐานสากลเป็นครั้งแรก

จำนวนพลเมืองเขมร 15 ล้านคนถ้าเปรียบเทียบกับเวียดนาม 90 ล้านคน หรือพม่า 70 ล้านคนก็ถือว่ายังน้อยมาก การท่องเที่ยวก็มีเสียมเรียบ เป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญ คนไปเที่ยวมากกว่า พนมเปญ ซึ่งเป็นเมืองหลวงเสียอีก โอกาสในการลงทุนนั้นยังมีอยู่มากมาย พร้อมด้วย ทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์โดยเฉพาะเรื่องพลังงาน

หากนักลงทุนที่มองหาโอกาสในประเทศกัมพูชาแห่งนี้ก็ถือว่าเป็นประเทศที่น่าสนใจ แต่จำเป็นจะต้องเรียนรู้พื้นฐาน และความต้องการของกลุ่มเป้าหมายเหล่านี้อย่างถ่องแท้เสียก่อน ลองศึกษากันดูนนะครับ


กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันที่ 21 ตุลาคม 2557 01:00




คนเยอรมัน
เยอรมันเป็นประเทศเดียวในโลกที่เป็น Fully industrialized country ประเทศอุตสาหกรรมสมบูรณ์แบบ
---►บีบีซีของอังกฤษ ศึกษาสำรวจลักษณะชาวเยอรมันทั้งประเทศ --------------------------
►1. ระดับหนี้สินต่อครัวเรือนของคนเยอรมันอยู่ในระดับต่ำมากที่สุดในยุโรป ชาวบ้านทั่วไปนิยมใช้จ่ายด้วยเงินสดมากกว่าบัตรเครดิต
...
►2. ธนาคารไม่อนุมัติบัตรเครดิตให้กันง่ายๆ ในขณะที่ชาวเยอรมันก็ไม่ต้องการได้บัตรเครดิตง่ายๆเช่นกัน
►3. คนเยอรมันสามารถออมเงินได้ 10% ของเงินเดือนแทบทุกคน
►4. ผู้คนส่วนใหญ่มีเงินฝากในธนาคารเป็นกอบเป็นกำทำให้ระบบการหมุนเวียนของเงินกู้กับเงินฝากสมดุลกันได้ดี
►5. คนเยอรมันไม่นิยมเอาบ้านหรือรถยนต์ไปจำนองเพื่อนำเงินมาทำธุรกิจ เพราะถือว่าเป็นความเสี่ยงที่อาจจะสูญเสียทรัพย์สินที่มีอยู่
►6. คนเยอรมันใช้เวลาทำงานต่อสัปดาห์น้อยกว่าคนในชาติอื่น ๆ ทั่วโลก แต่ได้ประสิทธิภาพมากกว่า
►7. การทำงานล่วงเวลาถูกมองว่าเป็นสิ่งไม่เหมาะสม เนื่องจากการให้เวลากับครอบครัวหลังเลิกงานถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก
►8. เวลาแปดชั่วโมงต่อวัน คนเยอรมันทำงานอย่างจริงจังในเวลางาน ไม่เสียเวลาไปกับการพูดคุยเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับงาน อีเมลล์ส่วนตัว Facebook และโทรศัพท์มือถือ …เป็นที่รู้กันว่าไม่ควรใช้ในชั่วโมงทำงาน
►9. นักข่าวชาวอังกฤษที่ไปทำงานในโรงงาน Faber & Castel ที่เยอรมนี ถูกต่อว่าจากเพื่อนร่วมงานทันทีที่หยิบโทรศัพท์เพื่อต้องการส่ง SMS แค่ครั้งเดียว
►10. ชีวิตในที่ทำงานที่นี่เขาจริงจังกันมาก ไม่มีการพูดคุย นินทา ไม่อยากรู้อยากเห็นว่าใครเป็นแฟนใคร ใครเลิกกับใคร ใครจะไปออกเดทกับใคร ไม่แม้แต่จะเล่าเรื่องละครทีวีที่ดูเมื่อคืน เลิกงานแล้วจะไปไหน จะไปทานดินเนอร์กับใคร ก็ไม่มีการพูดคุยกัน
►11. การมาทำงานสายจะถูกมองว่าเป็นคนไม่รักษาสัญญา จะมาสายสามนาทีหรือสามสิบนาที ก็ถือว่าเป็นคนไม่มีคุณภาพ เพราะขาดความเคารพต่อตัวเองและองค์กร
►12. สองในสามของคุณแม่มือใหม่จะไม่ทำงานนอกบ้าน การบอกว่าเป็น Housewife ในประเทศอื่น ๆ อาจจะรู้สึกเขินอายเหมือนว่าตนเองไม่มีงานทำ แต่ที่นี่มีแต่ความภาคภูมิใจ หากจะได้เป็น Housewife
►13. รัฐบาลให้สวัสดิการดีกับคุณแม่ที่ต้องออกจากงาน ทั้งนี้ก็เพื่อต้องการให้แม่ได้เลี้ยงดูลูกด้วยตนเอง การให้เวลากับลูกถือเป็นสิ่งสำคัญ
►14. ในวันอาทิตย์ ร้านรวงทั่วไปตามแหล่ง Shopping จะปิดเงียบ เพื่อให้ผู้คนส่วนใหญ่มีเวลาอยู่กับครอบครัว เมื่อสถาบันครอบครัวแข็งแรงประเทศชาติก็จะแข็งแรง
►15. ในยามยากของเศรษฐกิจ บริษัทส่วนใหญ่ไม่ใช้วิธีการ Lay off พนักงาน ไม่นิยมการปลดคนงานออกแบบกระทันหัน เพื่อความอยู่รอดของบริษัท
►16. อาจจะเรียกว่าเป็นวัฒนธรรมองค์กรไปเสียแล้วที่บริษัทจะเป็นห่วงความอยู่รอดของพนักงานก่อน เพื่อที่จะได้ช่วยกันประคองให้บริษัทอยู่รอด
►17. พนักงานยินดีที่จะถูกลดรายได้อย่างพร้อมเพียงกันเพื่อให้ทุกคนอยู่ได้และบริษัทอยู่รอด สิ่งนี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงการรักพวกพ้อง รักองค์กร และรักชาติในที่สุด
►18. ทีมชาติฟุตบอลของเยอรมนี จะไม่ค่อยมีดาวเด่นที่โด่งดังระดับโลก แต่ก็สามารถคว้าแชมป์โลกได้ถึง 3 สมัย ด้วยทักษะการเล่นอย่างเป็นทีมเวิร์คมากกว่าความสำเร็จจากความสามารถเฉพาะบุคคล
►19. การใช้ชีวิตแบบพอเพียง ประหยัด จริงจังในหน้าที่ มีระเบียบวินัย ตรงต่อเวลา มีความรับผิดชอบสูง รักครอบครัว รักพวกพ้อง รักชาติ เหล่านี้ล้วนเป็นอุปนิสัยขั้นพื้นฐานที่คนส่วนใหญ่ในเยอรมนีได้ปฏิบัติสืบต่อกันมา


คนเกาหลี
16 เรื่อง(จริง)แปลกๆ ของ วัยรุ่น เกาหลี
ประเทศ เกาหลี นั้นเป็นอีกประเทศที่ทุกคนใฝ่ฝันอยากจะไปกันจริงจังเลย แหม!ก็ เห็น ซีรีส์ เกาหลี สถานที่สวยๆ บรรยากาศดีๆตั้งมากมาย แถมเวลาไป ช๊อปปิ้ง คงถูกใจสาวๆ ก็ของถูกมากๆ จะไม่อยากไปสอยได้ยังไง … แต่ถ้าอยากจะรู้จักเกาหลีให้มากขึ้น ลองมาดูกันว่า?16 เรื่อง(จริง) แปลกๆ ของคน ประเทศเกาหลี เขามีอะไรบ้างนะ? ^^
1. บนรถไฟใต้ดินที่เกาหลี จะมีคนเอาของขึ้นมาขายบ่อยๆ แล้วจะพูดขายของเสียงดังมาก โดยส่วนมากจะลากใส่รถเข็นขึ้นมา ที่เห็นบ่อยๆ ก็เช่น ถุงใส่ผ้า ยาขัดรองเท้า ถุงเท้า
2. บนรถไฟใต้ดินจะมีที่นั่งของคนชรา คนท้อง และคนพิการแยกอยู่ ซึ่งคนปกติทั่วไปไม่ควรนั่งเด็ดขาดไม่งั้นจะถูกมองด้วยสายตาแปลกๆ
3. ที่ว่าคนเกาหลีกินหมานั้นเป็นเรื่องจริง แต่ไม่ใช่ทุกคน หาได้ง่ายตามต่างจังหวัด ส่วนเมืองหลวง (กรุงโซล) อาจหายากหน่อยแต่ก็ไม่ยากเกินไป นอกจากหมาแล้ว แมวก็กินด้วย

4. วัยรุ่น เกาหลี จะนิยมส่งเมสเสจหากันมากกว่าโทรไปหาโดยตรง และคนเกาหลีตัวจริงจะกดแป้นโทรศัพท์กันไวมาก โดยปีล่าสุดคนเกาหลีใต้เคยไปแข่งกดส่ง sms และได้รางวัลที่ 1 ระดับโลก
5. ประเทศไทย นักศึกษา (วัยรุ่น) บางคนจะใส่ชุดนักศึกษาตัว?เล็กจนรัด แต่ที่เกาหลี นักเรียน (วัยรุ่น) บางคนจะใส่ชุดนักเรียนตัว?เล็กจนรัดมาก (แต่ส่วนมากจะใส่เสื้อทับนะ)
6. พ่อแม่คนเกาหลีจำนวนมากยอมย้ายบ้านเพื่อมาส่งลูกเรียนในโรงเรียนดีๆ ที่อยู่ต่างเมือง?เช่น บ้านอยู่ปูซาน แต่จะส่งลูกเข้าเรียนในกรุงโซล ก็จะพากันย้ายมาอยู่โซลกันทั้งครอบครัว โดยส่วนมากจะเป็นช่วงมัธยมต้นและปลายของลูก

7. และชุดนักเรียนเกาหลีราคาแพงมาก!!!!!!! ชุดนึงตกประมาณ 7-8 พันบาทจนไปถึงเป็นหมื่นบาท
8. เด็ก (วัยรุ่น) นักเรียนเกาหลีแทบทุกคนต้องเรียนพิเศษ การเรียนพิเศษเลิก 4 ทุ่มทุกวัน ถือเป็นเรื่องธรรมดา ช่วงสอบ?ปลายภาคอาจมีคอร์สพิเศษเปิดสอนถึงตี 2 โดยเฉพาะวิชาเลขเป็นวิชาที่ วัยรุ่น เกาหลีทุ่มเทมากๆๆ
9. คนเกาหลีไม่ได้ศัลยกรรมทุกคน อย่าเข้าใจผิด เพียงแต่การ?ศัลยกรรมที่นั่นถือเป็นเรื่องธรรมดา คนจึงทำกันเยอะ อย่าไปเรียก?ประเทศเค้าว่าเป็นประเทศคนหน้าพลาสติก

10. หน้างานคอนเสิร์ตทุกงาน จะมีลุงหรือป้าแก่ๆ มาขายแท่งไฟ ขายป้ายชื่อ ขายกล้องส่องทางไกลและสินค้าอื่นๆ ของศิลปิน ถ้าเป็นหน้าหนาว ลุงหรือป้าคนนั้นจะเปลี่ยนอาชีพมาเดินขายผ้าห่มหน้าคอนเสิร์ตนั้นๆ แทน
11. เวลาซื้อของกินตามแผงข้างทางแล้วยืนกินตรงแผงนั้น ควร?จะกินให้หมดเลย เพราะป้าเจ้าของร้านบางร้านจะเอาของที่กินไม่?หมด เอาลงไปผัดในกะทะแล้วขายต่อ
12. เวลาย้ายบ้าน คนที่ย้ายไปใหม่จะต้องเอาขนมต๊อกไปมอบ?ให้แก่เพื่อนบ้าน ถือเป็นการทำความรู้จักและผูกมิตรในขั้นต้น

13. เวลา วับรุ่น เกาหลีไม่ว่าจะเพื่อนร่วมงานหรือเพื่อนทั่วไปไปกิน?เหล้า ส่วนมากหลังจากเปิดขวด จะใช้แก้วใบเดียวรินเหล้าแล้วค่อยๆ?ดื่มทีละคน แล้ววนกันไปจนครบทุกคนก่อน 1 รอบโดยใช้แก้วใบ?เดียวกัน หลังจากนั้นค่อยต่างคนต่างดื่ม แก้วใครแก้วมัน
14. ในเกาหลี ผู้ชายสามารถบ้าดาราได้อย่างเปิดเผยและออกรสออกชาติมาก เวลาไปดูคอนเสิร์ตจึงไม่ต้องแปลกใจที่จะเจอแฟนคลับกลุ่มผู้ชายตะโกนโหวกเหวกยิ่งกว่าผู้หญิงซะอีก
14. ในเกาหลี ผู้ชายสามารถบ้าดาราได้อย่างเปิดเผยและออกรสออกชาติมาก เวลาไปดูคอนเสิร์ตจึงไม่ต้องแปลกใจที่จะเจอแฟนคลับกลุ่มผู้ชายตะโกนโหวกเหวกยิ่งกว่าผู้หญิงซะอีก
15. วันสอบเอนทรานซ์ของ วับรุ่น เกาหลี (เรียกว่าซูนึง) เป็นวันที่ถือว่าสำคัญมากๆๆ อาจารย์ผู้หญิงห้ามใส่รองเท้าส้นสูงเพราะถือว่าเดินแล้วเสียงดังจะทำลายสมาธิเด็ก คนทำงานอนุญาตให้เข้างานสายได้กว่าปกติ เพราะต้องออกจากบ้านช้า เนื่องจากให้นักเรียน (วัยรุ่น) รีบออกไปสอบก่อน รวมถึงในคาบสอบการฟัง สายการบินต่างๆ จะงดเที่ยวบินในช่วงเวลานั้น เนื่องจากเกรงว่าเสียงเครื่องบินจะรบกวนการทำข้อสอบ
16. มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดของเกาหลีคือ มหาวิทยาลัยโซล มหาวิทยาลัยโคเรีย และมหาวิทยาลัยยอนเซ คนเกาหลีเรียกรวมกันว่า SKY โดยมาจากตัวอักษรตัวแรกของแต่ละมหาวิทยาลัย

คนลาว

คนลาวอัธยาศัยไมตรีดี่ต่อคนต่างชาติ โดยเฉพาะกับคนไทย เนื่องจากคนลาวชมทีวีไทย นิยมชมชอบคนไทยจากละครที่วี อ่านหนังสือไทยได้เพราะตัวอักษรใกล้เคียงกัน ฟังพูดภาษาไทยได้เข้าใจ ในชนบทถ้าสามารถเข้าสัมผัสได้โดยมีคนลาวที่เป็นญาติในหมู่บ้านนั้นพาเข้าไป จะเห็นวิถีชีวิตคล้ายชาวเหนือไทย มีน้องสาวลูกสาวจะพาแนะนำให้รู้จัก อยากได้เขยคนไทย ผู้ชายคนไทยไปมีเมียมีลูกสร้างบ้านที่ดูดีกว่าบ้านหลังอื่นๆ ในบริเวณเดียวกันไว้ให้  ไปหาลูกเมียลาวเดือนละครั้งสองครั้ง คนไทยรุ่นหลังอย่าไปทำเสียชื่อนะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น