...11 ส.ค. 58 เมื่อเวลา 18.15 น. ที่รัฐสภา นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ แถลงว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้มีกรรมการยุทธศาสตร์และการปรองดองแห่งชาติ ในมาตรา 260 ประกอบด้วย ประธานกรรมการ 1 คน และกรรมการไม่เกิน 22 คน ประกอบด้วย กรรมการโดยตำแหน่งได้แก่ ประธานรัฐสภา ประธานวุฒิสภา นายกรัฐมนตรี ผู้บัญชาการกองทัพไทย ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภา นายกรัฐมนตรี ประธานศาลฎีกา ซึ่งเลือกกันเองประเภทละ 1 คน และ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิไม่เกิน 11 คน ซึ่งแต่งตั้งตามมติรัฐสภา จากผู้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการปฏิรูปด้านต่างๆ และการสร้างความปรองดอง โดยมีอำนาจหน้าที่เสริมสร้างการปฏิรูป และกำกับการสร้างความปรองดอง และระงับเหตุที่อาจนำไปสู่การเกิดความรุนแรง
...กมธ.ยกร่างฯ ได้กำหนดอำนาจพิเศษของ กรรมการยุทธศาสตร์ฯ ไว้ในบทเฉพาะกาล ระบุว่า หากคณะรัฐมนตรีไม่มีเสถียรภาพ จนไม่สามารถบริหารประเทศได้ กรรมการยุทธศาสตร์มีมติคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของกรรมการทั้งหมด มีอำนาจใช้มาตรการที่จำเป็นสำหรับจัดการกับสถานการณ์ดังกล่าว ภายหลังจากที่ได้รับการปรึกษากับ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และประธานศาลปกครองสูงสุดแล้ว เพื่อให้สถานการณ์กลับเข้าสู่สภาวะปกติโดยเร็ว จากนั้น ประธานกรรมการยุทธศาสตร์ มีอำนาจสั่งการระงับยับยั้งหรือกระทำการใดๆ ไม่ว่าการกระทำนั้นจะมีผลทางนิติบัญญัติหรือในทางบริหาร ให้ถือว่าคำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งและการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญนี้ และถือเป็นที่สุด และเมื่อได้ดำเนินการตามมาตราการดังกล่าวแล้ว ให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯ รายงานต่อประธานสภา ประธานวุฒิสภา รายงานต่อ ประธานศาลศาลรัฐธรรมนูญ และประธานศาลปกครองสูงสุด รับทราบโดยเร็ว และแถลงให้ประชาชนรับทราบ และเมื่อมีการใช้อำนาจตามมาตรานี้ ให้ถือเป็นการเปิดประชุมสภา โดยอำนาจพิเศษตามมาตรานี้กำหนดให้ใช้ได้เพียง 5 ปี ซึ่งอำนาจตามมาตรานี้ไม่เหมือนกับมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 เพราะไม่มีอำนาจทางตุลาการ
..."ตัวอย่างสำหรับการใช้มาตรานี้ เช่น หากเกิดการชุมนุมขึ้นหลายพื้นที่ จนกลายเป็นจราจล รัฐบาลประกาศใช้กฎหมายความมั่นคง ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้ว ตำรวจ ทหาร ก็ยังเอาไม่อยู่ ถือว่ากลไกทางกฎหมายตามปกติไม่สามารถใช้ได้แล้ว กรรมการยุทธศาสตร์ก็ต้องมาใช้อำนาจตามมาตรานี้ ซึ่งขอบเขตของอำนาจตามมาตรานี้ มีไว้เพื่อทำให้สถานการณ์กลับคืนสู่สภาวะปกติโดยเร็ว ยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่มีการหมกเม็ด แต่เปิดเม็ดวางอยู่บนโต๊ะ ทั้งยังไม่ใช่การสืบทอดอำนาจแต่ต้องการทำให้เมืองสงบ" นายบวรศักดิ์ กล่าว
ไทยรัฐออนไลน์
วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2558
หลังจากปกปิดเป็นความลับสุดยอดมาหนึ่งปีเต็มๆในที่สุด “กล่องดวงใจ” ที่ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างฯ แอบฝังชิปไว้ในร่างรัฐธรรมนูญ ก็ถูกเปิดออกมาเต็มเปา
“แม่ลูกจันทร์” แกะกล่องดวงใจออกมาดู พบ “ยาวิเศษ” บรรจุไว้ 3 ขวด ดังนี้คือ
ยาวิเศษขวดที่ 1, คือ แปลงร่าง คสช.กลายเป็นคณะกรรมการยุทธศาสตร์ปฏิรูปและปรองดองแห่งชาติ
เป็นซุปเปอร์รัฐบาลซ้อนทับเหนือรัฐบาลจากการเลือกตั้งอีกที
ยาวิเศษขวดที่ 2, คือการล็อกสเปกให้เกิดรัฐบาลปรองดองแห่งชาติ ที่มี ส.ส.จากพรรคการเมืองต่างๆผสมข้ามสายพันธุ์ ไม่น้อยกว่า 4 ใน 5 ของจำนวน ส.ส.ทั้งสภาฯ เพื่อเปิดประตูให้ “คนนอก” แหกด่านมะขามเตี้ยเป็นนายกฯคนกลาง
ยาวิเศษขวดที่ 3, คือ เพิ่มบท เฉพาะกาลให้รัฐบาล คสช.มีอำนาจแต่ง ตั้ง ส.ว.ลากตั้งชุดใหม่ 123 คน
เพื่อให้ คสช.ควบคุมเสียงข้างมากในวุฒิสภา เพื่อถอดถอนนักการเมืองและเพื่อแต่งตั้งคณะกรรมการองค์กรอิสระได้อย่างสะดวกโยธิน
“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่า การเพิ่มกติกาทั้ง 3 อย่างไว้ในร่างรัฐธรรมนูญ ก็เพื่อให้ คสช.ยังกุมอำนาจเบ็ดเสร็จในการจัดระเบียบประเทศ
หรือควบคุมสถานการณ์ประเทศ หรือจัดการกับปัญหาต่างๆต่อไปในระยะยาว โดยไม่จำเป็นต้องขยายโรดแม็ป คสช.ให้ปวดเมื่อยไข่ดัน
เพราะแม้ว่า คสช.ต้องสลายตัวไป หลังมีรัฐบาลใหม่ แต่อำนาจ คสช.ที่ใส่เพิ่มเข้าไปในร่างรัฐธรรมนูญ ยังคงอยู่เหมือนเดิม
เพียงแต่แปลงร่าง คสช.เป็นคณะกรรมการยุทธศาสตร์ปฏิรูปแห่งชาติฯ เท่านั้นเอง
“แม่ลูกจันทร์” ย้ำว่า คณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯชุดนี้ จะอยู่ในตำแหน่ง 5 ปี สามารถต่อวีซ่าได้อีก 5 ปี รวมเป็น 10 ปี
โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะกรรมการส่วนคณะกรรมการจะประกอบด้วย ประธานศาลฎีกา ประธานรัฐสภา ผบ.สูงสุด ผบ.ทบ. ผบ.ทอ. ผบ.ทร. ผบ.ตร. และผู้ทรงคุณวุฒิที่ คสช.แต่งตั้งรวมทั้งสิ้น 21 คน
แต่ที่ “ฮ้อแร่ดอย่าบอกใคร” คือให้อำนาจคณะกรรมการยุทธศาสตร์ปฏิรูปและปรองดองแห่งชาติ สั่งการเหนือรัฐบาล สั่งการเหนือรัฐสภา
และให้ถือว่าการกระทำใดๆ ของคณะกรรมการฯทุกกรณีชอบด้วยกฎหมายทุกประการ
“แม่ลูกจันทร์” สรุปว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับลงเรือแป๊ะเป็นรัฐธรรมนูญที่ออกแบบพิเศษสำหรับแป๊ะโดยตรง
เพราะผู้มีอำนาจบารมีเหมาะสมที่จะเป็นประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ปฏิรูปและปรองดองแห่งชาติ
คงไม่มีใครเหมาะสมเท่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
และผู้ที่จะได้รับเกียรติสูงสุดบนเก้าอี้นายกฯ คนกลางในรัฐบาลปรองดองแห่งชาติ
ก็คงไม่มีใครเหมาะสมกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เช่นกัน
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จึงไม่ใช่การต่อท่ออำนาจ คสช.อย่างที่พวกปากหอยปากปูนินทา
แต่เป็นการสร้างทางพิเศษ 8 เลน เพื่อให้ “พล.อ.ประยุทธ์” ช่วยดูแลรักษาประเทศชาติให้สงบเรียบร้อยไปอีก 5 ปี หรือ 10 ปี
อามะภันเต...มันเป็นเช่นนี้แหละโยม.
แม่ลูกจันทร์
www.thairath.co.th/content/518178
...ไชยันต์ ไชยพร นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ......ถ้าคิดว่าประชาชนเท่าเทียมกันจริงๆ ประชาชนมีอำนาจทางการเมืองเท่าเทียมกันจริง ต่อไปนี้ก็ล้มระบบ สส. ล้มระบบเลือกตั้ง ให้จับสลากเอาประชาชนเข้ามาตัดสินเรื่องราวของประชาชนเลย
...รู้หรือไม่ว่าการมีระบบเลือกตั้งเป็นการสะท้อนว่าคนไม่เท่ากัน
...ไชยันต์ กล่าวอีกว่า รัฐธรรมนูญก่อน 22 พ.ค. 2557 ไม่ได้มีความหมายเลย กลุ่มมวลชนปิดสถานที่ราชการ รัฐบาลก็อ้างว่าลาออกไม่ได้ เกิดมีมวลชนฝ่ายรัฐบาลออกมาชุมนุมพร้อมที่จะยกกำลังเข้าหากัน
...นี่คือเหตุผลว่ารัฐธรรมนูญต้องมีเครื่องมือที่เข้มแข็งพอจะพิทักษ์รัฐธรรมนูญเองเมื่อเกิดปัญหา จึงไม่พ้นทหาร คนอาจจะมองว่าคณะกรรมการยุทธศาสตร์ปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ (คปป.) เป็นปัญหา แต่อาจเป็นเครื่องมือที่จำเป็นก็ได้ที่จะพิทักษ์รัฐธรรมนูญให้มีความเข้มแข็งเสียก่อน แล้วค่อยๆ ปรับแก้เปลี่ยนแปลงต่อไป
http://www.posttoday.com/analysis/politic/392751
http://www.posttoday.com/analysis/politic/392751
ผู้เขียน: ไม่แน่ใจ แต่อยากให้ยาวิเศษมีสรรพคุณ อย่างแม่ลูกจันทร์กล่าวว่าไว้จริง ๆ
ความเห็นผู้เขียน
...เป็นความพยายาม หามาตรการสยบปัญหา เมื่อบ้านเมืองไม่สงบ ฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายก่อม๊อบต่างไม่ยอมลดราวาศอก รัฐบาลไม่สามารถบริหารให้สงบได้ อดีตในรอบ 10 กว่าปีที่ผ่านมาปรากฏให้ประจักษ์หลายครั้ง ขอชมเชยถือเป็นนวัตกรรมกลไกใหม่
...เป็นมาตรการมีไว้แก้ปัญหาโดยไม่ต้องทำรัฐประหารไม่รู้จบ เป็นกลไกบริหารทรงอำนาจเด็ดขาดเพื่อสยบจราจล ภายใต้รัฐธรรมนูญ ไม่ต้องฉีก อารยะประเทศยอมรับได้ ทุกฝ่ายได้ประโยชน์การเมืองเศรษฐกิจเดินต่อได้ สอดคล้องรูปแบบวัฒนธรรมการเมืองแบบไทย อัตลักษณ์การเมืองไทย พยายามอย่างไรก็กลับสู่วงจรเดิม เป็นวงจรแบบไทยมาเกือบ 100 ปี ยากที่จะปรับเปลี่ยนเป็นอื่น ดังนั้นจัดให้เป็นวงจรถูกต้องตามรัฐธรรมนูญเถิด ไม่เห็นแปลก แต่ละชาติบนโลกใบนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะรูปแบบการเมืองเป็นของตนเอง ถือเป็นการพัฒนาแก้ปัญหาเฉพาะของเรา ไม่มีรูปแบบการปกครองสากลเหมือนกันเป๊ะทุกอย่างบนโลกนี้ การพยายามตะแบงบุคลิกให้เหมือนคนอื่นไม่มีทางแก้ปัญหาของตนได้ การมีมาตรการแบบนี้ไม่ทำให้ชาติสูญเสียอิสระภาพอธิปไตยอันใดเลย ยังเป็นชาติไทย ของคนไทย เพื่อคนไทย โดยคนไทย เหมือนเดิม
...เมื่อรัฐบาลขาดเสถียรภาพ นายกรัฐมนตรีคนปัจุบันขณะนั้น ย่อมขาดความเชื่อถือจากหลายฝ่าย ช่วงเริ่มเกิดสถานการณ์ ประธานและรองประธานกรรมการฯ ชุดนี้ ควรระบุให้เป็น ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และประธานศาลปกครองสูงสุด มีหน้าที่ตัดสินใจ ว่าเมื่อใดเป็นสถานการณ์ที่รัฐบาลขาดเสถียรภาพ เมื่อนั้นให้ประธานเรียกประชุมคณะกรรมการฯ 22คน ดำเนินการได้ทันที ต่อไปจะตั้งใครทำอะไรขึ้นอยู่กับมติคณะกรรมการ
...เนื่องจากสถานการณ์เมืองไทยระยะนี้ หากปล่อยให้มีการเลือกตั้ง ก็ยากที่จะสงบลงได้ อำนาจพิเศษควรมีไว้เป็นทางออก ซึ่งคงไม่ได้ใช้ถ้าไม่มีสถานการณ์ความรุนแรงไม่ต้องกลัว และที่เกรงว่าทหารจะเป็นเผด็จการทรราษฎ์ กระทำเอาประโยชน์ส่วนตัว เลยยุคเลยเวลาที่จะทำย่ำยีอย่างนั้นได้แล้ว คนไทยยุคนี้และยุคต่อไปทุกสีไม่มีใครยอมแน่ ดังนั้นเพื่อเป็นทางออกฉุกเฉิน ไม่ควรกำหนดไว้เพียง 5 ปี ตัวอย่างรัฐธรรมนูญสหรัฐ กำหนดกลไกอำนาจพิเศษไว้พร้อมใช้ได้ตลอด เมื่อประธานาธิบดีโดนลักพาตัว
...เราศรัทธาประชาธิปไตย แต่เราไม่ศรัทธานักการเมืองพรรคการเมืองไทยที่ผ่านมา แอบอ้างประชาธิปไตยซื้อเสียงขึ้นสู่อำนาจ แล้วมากอบโกยเพื่อประโยชน์ตนเอง และพยายามปรับกติกาเป็นเผด็จการรัฐสภา ลดกลไกการตรวจสอบเช่นแก้รัฐธรรมนูญอย่างน่าเกลียด ซื้ออำนาจการตรวจสอบ อย่างซื้อ กกต.
...ในเมื่อกติกาประชาธิปไตยที่ผ่านมา ไม่ถูกกับนิสัยและวัฒนธรรมไทย หันมาใช้ประชาธิปไตยกติกาแบบไทยที่เรากำลังพัฒนาขึ้นมาเอง พัฒนาจากปัญหา จากประสบการณ์ สร้างมาตรการกลไกแก้ปัญหาในอดีต
... ... รัฐบาลที่ทำให้บ้านเมืองสงบ มีเสถียรภาพมั่นคง มีเวลาคิดวางแผนงานโครงการแก้ปัญหาระยะยาวได้ การทุจริตน้อย มีการปราบปรามข้าราชการนักการเมืองทุจริตได้ผลชัดเจน คือยุค จอมพลปอ พิบูรณ์สงคราม ยุคพลเอกเปรม ติณสูรานนท์ ยุคนายอนันท์ ปัญญารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี คือประชาธิปไตยตามแนววิถีไทย ยุคพลเอกเปรมถือเป็นผลการวิจัยที่ผ่านการพิสูจน์สมมติฐานว่ามีนัยสำคัญ เป็นประชาธิปไตยที่เหมาะกับวิถีแบบไทย หลายท่านอ้างว่า "ไม่เป็นประชาธิปไตยสากล, เป็นประชาธิปไตยครึ่งใบ" ถามว่าประชาธิปไตยสากลเต็มใบ ลองใช้ในไทยหลายยุค,หลายสมัย, หลายปี ผลเป็นอย่างไร ตั้งแต่ ยุคที่1)2475-2480ยุคก่อการ; ยุคที่2)2514-2519ยุคเบ่งบาน; ยุคที่3)2531-2534ยุคพลเอกชาติชาย; ยุคที่4)2540-2548ยุคทักษิณ; ยุคที่5)2550-2557ยุคเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ ...พิสูจน์แล้วว่า ไม่Sig ไม่มีนัยสำคัญ ใช้ไม่ได้ ไม่ WORK ไม่สามารถนำมาใช้ในไทยได้
...บนโลกนี้ไม่มีกติกาประชาธิไตยเหมือนกัน ไม่มีประชาธิปไตยสากลโลก ทุกประเทศต่างพัฒนาขึ้นมาเป็นแบบเฉพาะของตนเองทั้งสิ้น และปัจุบันตะวันตกได้พัฒนาประชาธิปไตยแตกต่างจากต้นแบบ Original ดั้งเดิมกลายพันธุ์กันเยอะแล้ว เพิ่มมาตรการจำกัดสิทธิเสรีภาพเพื่อประโยชน์ส่วนรวมมากขึ้นและมากขึ้น
...จราจลสีเสื้อ เมื่อพรรคแดงเป็นรัฐบาลมวลชลเหลืองก่อจราจล, เมื่อพรรคเหลืองเป็นรัฐบาลมวลชนแดงก่อจราจลต่างประเทศมีไหมเขามีมาตรการอย่างไร, เมื่อรัฐบาลเสียงข้างมากขาดความชอบธรรมเขามีมาตรการกลไกหาทางออกอย่างไร, เมื่อนักการเมืองซื้อเสียงต่างประเทศมีไหมเขามีมาตรการกลไกอย่างไร, เมื่อพรรคใหญ่ซื้อพรรคเล็กต่างประเทศมีไหมเขามีมาตรการป้องกันอย่างไร, รัฐบาลแก้รัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์พรรคตนต่างประเทศมีไหมเขามีมารตการอย่างไร, สถานการณ์บางอย่างต่างประเทศไม่มี มีเฉพาะในประเทศไทย เราจึงต้องมีมาตรการเฉพาะของเรา และต้องเป็นมาตรการกลไกที่ได้ผลเตรียมป้องกันไว้แล้ว
...มาตรการเหล่านี้แต่ละชาติล้วนพัฒนาขึ้นมาเป็นการเฉพาะตัวทั้งสิ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น